วันพุธที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

การดูแลหน้าสำหรับสาวผิวมัน

ผิวมัน เป็นปัญหาหนึ่งที่สาวไทยประสบได้ค่อนข้างบ่อยค่ะ อาจเนื่องจากปัจจัยจากตัวเราเอง และปัจจัยจากภายนอก เช่น สภาวะอากาศของบ้านเราค่อนข้างร้อนถึงร้อนมาก ๆ

สาว ๆ ที่มีผิวหน้ามันทั้งหลายค่อนข้างจะวิตกกังวลอันเนื่องมาจากผิวมัน ทำให้ดูหน้าเลอะเทอะ ไม่น่าจับต้อง แต่งหน้าแต่ละทีแป้งก็ติดไม่ทน ทำให้ไม่สวยเอาได้ง่าย ๆ อีกทั้ง ความเชื่อเดิม ๆ ที่ว่าคนผิวมันมักจะเป็นคนที่เป็นสิวได้ง่าย แต่ความเป็นจริงแล้ว คนผิวมันก็มีข้อได้เปรียบนะคะ เนื่องจากคนผิวมัน จะมีน้ำมาเคลือบบนผิวเซลล์เกือบตลอดเวลา ทำให้ผิวของคนผิวมันมักดูไม่เหี่ยวย่นได้ง่ายเมื่อเทียบกับคนผิวแห้ง

นอกจากนี้เรายังพบอีกว่า ไม่ใช่แต่เพียงคนผิวมันที่เป็นสิวนะคะ จริง ๆ แล้วคนที่ผิวแห้งมาก ๆ หรือมีปัจจัยใดๆ ก็ตามมารบกวนผิว มักจะกระตุ้นให้เกิดสิวและมีสิทธิ์ไม่สวยได้เช่นกันค่ะ

การดูแลผิวสำหรับคนที่มีผิวมันนั้น ในปัจจุบันมียาจำพวกวิตามินเอสังเคราะห์ เช่น Isotretinoin หรือการใช้ยาในกลุ่ม aldactone ซึ่งจะมีฤทธิ์ข้างเคียงของยาทำให้ต่อมไขมันใต้ผิวหนังลดจำนวน และขนาดลง มีผลให้ผิวเราแห้งขึ้น แต่การใช้ยาเหล่านี้มีข้อเสียอื่นๆ ด้วยค่ะ จึงควรอยู่ในความควบคุมของแพทย์เท่านั้นนะคะ

คนที่ผิวมันจริง ๆ อย่าเพิ่งน้อยใจนะคะ ปัจจุบันนี้มีสินค้าต่าง ๆ มากมายมาใช้ควบคุมความมันบนใบหน้า แพทย์ผู้เชี่ยวชาญได้แนะนำให้ คนไข้ที่มีปัญหาผิวมัน ซับหน้าด้วยกระดาษซับมันระหว่างวันและอาจใช้เครื่องสำอางที่ไม่มีส่วนผสมของน้ำมัน (Oil Free, Oil Control) และไม่ควรกังวลมากเกินไปพยายามเสริมสร้างความมั่นใจให้กับตนเองสาวผิวมันทั้งหลาย ก็จะสวยได้อย่างสาวผิวอื่น ๆ เช่นกันค่ะ

วันอาทิตย์ที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

หน้าใส ด้วยวิธีง่ายๆ

เป็นที่นิยมในปัจจุบันสำหรับบรรดาสาวๆ กับการดูแลผิวหน้าให้ใสปิ๊ง โดยลงทุนเสียสตางค์มากมายไปกับการซื้อผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหน้า รวมทั้งเข้ารับการดูแลจากผู้เชี่ยวชาญ ทั้งที่ "การล้างหน้า" เป็นวิธีง่ายๆ แต่ถูกมองข้าม

สาวๆ หลายคนอาจแย้งว่าแค่การล้างหน้าจะช่วยให้สุขภาพผิวดีอย่างไร เป็นไปไม่ได้!! ขอให้ฟังจากผู้เชี่ยวชาญก่อนแล้วจะถึงบางอ้อ!!
พ.ญ.สุนิดา ยุทธโยธิน แพทย์ผิวหนังแห่ง นิดา สกิน แอนด์ รีจูวิเนชั่น เซ็นเตอร์ แนะนำว่า ก่อนล้างหน้าก็ต้องรู้จักผิวหน้าของตัวเองก่อน โดยใช้ผลิตภัณฑ์ล้างหน้าทั่วๆ ไป ประมาณ 2-3 ชั่วโมง แล้วใช้มือสัมผัสผิวโดยรวมมัน ถึงมันมาก แสดงว่า "ผิวมัน" หากมันแค่บางส่วนจัดอยู่ในกลุ่มผิวผสมหากหน้าไม่มันเลย ก็แสดงว่าผิวธรรม ดาถึงผิวแห้ง
เมื่อรู้สภาพผิวกันแล้วก็มาถึงขั้นตอนความรู้ก่อนการล้างหน้ากันแล้ว ก่อนอื่นต้องล้างมือให้สะอาด จะให้ดีล้างด้วยน้ำอุ่นประมาณ 30 วินาที เพื่อให้อุณหภูมิพอเหมาะที่จะทำให้เนื้อครีมล้างหน้ากระจายได้ทั่วทั้งมือ และช่วยให้ผิวหน้าตอบรับครีมล้างหน้าได้ดียิ่งขึ้น และต้องให้ความสำคัญกับใบหน้าทุกส่วนเท่าๆ กัน เพราะจะทำให้เกิดความสมดุลทั่วใบหน้า โดยเฉพาะการนวด ต้องนวดอย่างเบามือ สม่ำเสมอ จะช่วยการไหลเวียนของโลหิตดีขึ้น ส่งผลต่อการล้างหน้าที่ล้ำลึกสู่ชั้นผิว แค่นี้ก็จะมีใบหน้าที่เรียบเนียนกระจ่างใสขึ้น

คุณหมอมีเคล็ดลับการทำความสะอาดใบหน้า เพื่อสุขภาพผิวที่ดีตลอดไปง่ายๆ 5 ขั้นตอน คือ
1.มั่นใจว่ามือ ผ้าเช็ดหน้าสะอาด และผลิตภัณฑ์เหมาะกับสภาพผิว
2.น้ำต้องมีอุณภูมิพอเหมาะไม่ร้อนหรือเย็นเกินไป
3.ควรออกแรงถูอย่างสม่ำเสมอ ไม่เบาหรือแรงเกินไป
4.ล้างผลิตภัณฑ์ออกโดยเร็ว และทั่วถึงทุกส่วนบนใบหน้า
5.เมื่อมั่นใจว่าผิวหน้าสะอาดแล้วก็ต้องซับให้แห้งสนิท
แค่นี้จะได้ผิวหน้าที่สวยใสไม่ต้องไปพึ่งการขัดหน้า นวดหน้า ไอออนโต้ หรือทำทรีตเมนต์ใดๆ เมื่อรู้กันแล้วก็มา เริ่มกันตั้งแต่ตอนนี้เลยดีกว่า ดูแลผิวหน้าให้ใสปิ๊ง ง่ายๆ ถูกวิธี ถูกสตางค์ใน กระเป๋า !!

ที่มา  :  มติชน

วันเสาร์ที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

10 เคล็ดลับหน้าใสไร้สิว หามาให้แล้วครับ

สำหรับคนที่หน้าไม่ใสหรือเป็นสิวนะคับฟังทางนี้ค่ะ!!
คุณกำลังประสบปัญหาเรื่องหน้าไม่ใสหรือสิวขึ้นใช่หรือไม่
ถ้าคุณเจอปัญหาเล่านี้มีทางแก้แล้วคับ เค้าวิจัยกันมาแล้วกว่า 80 %

1.คุณจะต้องนอนไม่เกิน 4 ทุ่ม ให้นอนระหว่าง 3 - 3.30 ทุม
ข้อแรกสำคัญคับ

2. ถ้าเป็นเพศชาย กรุณาอย่าชัก...บ่อยติดต่อกันค่ะ
(ลองเว้นระยะซัก 1 อาทิตย์ แล้วดูผล)

3. ถ้าเป็นเพศหญิง ตอนประจำ....มาอย่าพยายามกินของมันและ
อย่าให้ผมปิดหน้าเพราะเมื่อมีประจำ...ผมคุณจะไม่สะอาดเพราะ
อะไรไม่ทราบเหมือนกันไม่ได้เป็นผู้หญิง แต่เค้าสำรวจแล้ว

4.อย่าล้างหน้าบ่อย ให้ล้างวันละ 2 ครั้ง มากสุด 3
เพราะจะทำให้หน้าคุณบางลง เมื่อหน้าคุณบางหน้าคุณจะอ่อนแอ
แพ้ง่ายทำให้เป็นสิวได้ง่าย แต่มีบางคนเค้าเถียงว่าถ้าไม่ล้างหน้า
บ่อยๆจะทำให้หน้ามัน(สำหรับบางคนที่หน้ามันง่าย)แล้วสิวจะขึ้น
มีวิธีแก้คือให้ใช้วิธีทาแป้งบ่อยๆคับหน้าคุณจะไม่มันแต่ถ้าคุณแพ้
แป้งละก็ให้ใช้ดินสอพองผสมกับน้ำมะนาว(ดีจิงขอบอก)โบ๊ะหน้าไว้
เพื่อไม่ให้หน้ามันแต่ถ้าแพ้อีกผมก็ไม่รู้จะทำไงแล้วแหละ

5.ควรออกกำลังกายด้วยวันละ 1 คร้ง นานเท่าไหร่แล้วแต่แต่ขั้นต่ำ
ไม่เกิน 30 นาที
เมื่อคุณออกกำลังหายเสร็จ อย่าพึ่งล้างหน้าโดนเด็ดขาด ถ้าคุณล้าง
หน้าเลยจะทำให้เกิดฝ้าขึ้นได้ เพราะหน้าคุณกำลังร้อนอยู่เจอน้ำเย็น
จะทำให้ใบหน้าของคุณเสียได้และขึ้นฝ้า

6.ไม่ควรกินของมัน แต่สำหรับคนที่อดใจไม่ไหว มีวิธีแก้คับคุณกินน้ำตามเมื่อคุณกินของมันเสร้จกินมากๆจะช่วยได้ค่ะ

7.กินน้ำเยอะๆ เยอะๆนี่ไม่ได้หมายความว่า 7-8 แก้วนะคับ กินเมื่อฉี่ หรือ เยี๊ยวนั้นแหละ พอฉี่เสร็จก็ดื่มน้ำอย่างน้อย ครึ่งแก้วตาม
เสมอมันจะระบายของเสียออกจากร่างกายคุณและหน้าคุณจะใสไร้
สิว

8. พยายามอย่าให้หน้าคุณโดนแดดแรงๆมากๆจะทำให้สิวขึ้น

9.คุณควรจะแยกผ้าใช้ เช่น ผ้าเช็ดหน้าก็ส่วนผ้าเช็ดหน้า ผ้าเช็ด
ตัวก็ส่วนผ้าเช็ดตัว อย่างนี้เป็นต้น

10. อย่าพยายามให้หน้าคุณโดนฝุ่นผงเพราะจำทำให้คุณเป็นสิวหัว
ช้างได้

11.ทำตาม 10 ข้อข้างบนได้หน้าคุณจะใสและไร้สิว หุหุ
****ถ้าคุณทำได้อยากที่ผมโพสไปนี้อย่าน้อย 1 อาทิตย์คุณจะหน้าใส
และสิวน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด ****

ที่มา http://www.zheza.com/index.php?a=blog&b=entry&uid=91006&eid=2

วันศุกร์ที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

วิธีการแก้รอยแดง-ดำด้วยกรดผลไม้

รอยดำที่เกิดหลังจากแผลอักเสบหายแล้ว ทำให้สีผิวเปลี่ยนแปลง บางครั้งเป็นรอยแดง หรือรอยน้ำตาล ซึ่งเกิดขึ้นบนผิวหนังหลังจากสิวอักเสบหายไปแล้ว

Healy และ Simpson จากมหาวิทยาลัยนิวคาสเทิล แผนกผิวหนังกล่าวว่า สิวนั้นเป็นอะไรที่ธรรมดาและเห็นได้บ่อย ๆ เป็นสิบ ๆ ปีมาแล้ว แต่ปัจจุบันความรุนแรงของสิวในวัยรุ่นนั้นลดลง และเกิดขึ้นมากในผู้ที่มีช่วงอายุ 20-30 ปี ซึ่งเป็นผู้ที่คาดหวังสูงในผลการรักษา ผู้คนส่วนใหญ่ในทุกวัยมักมีปัญหาเกิดรอยดำหลังจากการอักเสบหายแล้ว

ผลิตภัณฑ์ความงามทั้งหลาย, ยารักษา และวิธีการรักษาเองที่บ้าน แสดงให้เห็นว่าการรักษารอยดำดังกล่าวได้ผลปานกลาง วิธีการที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในอเมริกาและที่อื่น ๆ ทั่วโลกได้สรุปดังหัวข้อนี้

gylcolic

การลอกผิวด้วยสารเคมี

การลอกผิวด้วยสารเคมีนั้นดูเหมือนจะได้รับนิยมมากขึ้นในปัจจุบัน เนื่องจากราคาไม่แพงและขั้นตอนการทำที่สะดวก การลอกผิวด้วยสารเคมีคือการทากรดหลาย ๆ ชั้นลงบนผิวบริเวณที่มีรอยดำ เพื่อกำจัดผิวชั้นบนสุด ด้วยอุปกรณ์ควบคุมการออกฤทธิ์ของสารเคมี

กรด Glycolic, Lactic และ Trichloroacetic เป็นตัวอย่างของกรดผลไม้ AHA เป็นสามชนิดที่ได้รับการแนะนำให้ใช้ในการลอกผิวด้วยสารเคมี

กรด Glycolic ไม่มีทั้งสีและกลิ่น มีความเข้มข้มหลากหลายตั้งแต่ 10% - 80% เป็นวิธีการลอกผิวเองที่บ้านที่ได้รับความนิยมมากที่สุด เนื่องจากมีความสามารถในการซึมที่ดี และความเป็นอันตรายต่ำ

ก่อนการเริ่มขั้นตอนการลอกผิวด้วยกรด glycolic แนะนำให้ใช้โทนเนอร์ที่มีส่วนประกอบของ glycolic ก่อน เพื่อเป็นการปรับผิวให้พร้อมต่อขั้นตอนการลอกผิวในลำดับต่อไป หลังจากขั้นตอนการปรับเตรียมผิวแล้ว ใช้คัตตอนบัดชุบกรด glycolic แล้วทาทิ้งไว้ประมาณ 2 นาที เมื่อครบ 2 นาทีแล้ว ปรับสภาพผิวให้เป็นกลางโดยทาเบคกิ้งโซดา หรือล้างออกด้วยน้ำสะอาด ขั้นตอนเหล่านี้สามารถทำได้ทุก ๆ สองสัปดาห์เพื่อให้ได้ผลเต็มที่ รอยดำจากสิวอักเสบจะจางลงอย่างสังเกตเห็นได้หลังจากการทำการลอกผิวประมาณ 6 ครั้ง สำหรับผู้ที่ไม่เคยทำการลอกผิวด้วย glycolic แนะนำให้เริ่มความเข้มข้นที่ 10-15% ในผู้ที่เคยทำการลอกผิวด้วย glycolic แล้ว อาจใช้ความเข้มข้นที่ 30-50% หลังจากผิวปรับสภาพให้คุ้นเคยกับการลอกผิวด้วยวิธีนี้แล้วก็สามารถเพิ่มความเข้มข้นให้สูงขึ้นได้หากจำเป็น

 

อีก 2 กรดที่ช่วยเรื่องรอยแดง-ดำจากสิวต่อจากบทความเมื่อวานที่ลง Glycolic Aid ไว้ บทความนี้จะเป็นเรื่อง Lactic Acid กับ TCA ซึ่งแรงที่สุดในบรรดากรดเคมีที่ใช้กัน หลายๆคนอาจจะไม่เคยได้ยินว่า TCA คืออะไร ถ้าเคยไปคลีนิคจะร้องอ๋อครับเพราะส่วนใหญ่ตามคลีนิคจะเอามาแต้มที่เป็นรอยดำ รอยตกกระให้มันจางเร็วขึ้น

before_after_peel2

กรด lactic เป็น AHA ที่อ่อนโยนกว่า Gylcolic Acid ที่ผู้ใช้อาจเริ่มความเข้มข้นได้ตั้งแต่ 30% -50% โดยไม่มีผลข้างเคียงอันตราย ขั้นตอนการใช้ก็ขึ้นอยู่กับชุดผลิตภัณฑ์ว่ามีอะไรบ้าง บางชุดมีขั้นตอนการเตรียมผิวให้มีค่า pH ที่เหมาะสมในการลอกผิวซึ่งจะใช้ทาบริเวณที่ต้องการก่อนขั้นตอนการลอก ขั้นตอนการลอกผิวของแลคติคก็คล้าย ๆ กับการลอกด้วย glycolic จะมีแตกต่างกันก็ตรงระยะเวลาที่ทิ้งไว้บนผิวที่นานกว่า โดยปกติแล้วนานกว่าประมาณ 3-7 นาที การลอกผิวด้วย lactic นั้นให้ผลดีกับผู้ที่มีผิวแพ้ง่าย อย่างไรก็ดี เนื่องจากเป็นกรดที่อ่อนโยน ดังนั้นการลอกผิวด้วยกรด lactic จะให้ผลดีไม่เท่ากับการใช้กรด glycolic หรือ trichloracetic

กรด Trichloroacetic (TCA) เป็นชนิดที่เข้มข้นที่สุดในบรรดาการลอกผิวด้วยสารเคมีทั้ง 3 ชนิดที่กล่าวถึง ดังนั้นโดยทั่วไปจะใช้ความเข้มข้นระหว่าง 10-50% โดย 15% ถือเป็นความเข้มข้นที่ใช้ทั่วไป ปกติแล้วความเข้มข้นที่แนะนำให้ใช้นั้นขึ้นอยู่กับว่าผิวทนได้แค่ไหน และจุดด่างดำหรือรอยสิวนั้นอยู่ลึกเพียงใด และเมื่อเพิ่มความเข้มข้นมากขึ้น ก็จะทำให้ผลที่ได้มากขึ้นตามไปด้วย วิธีการใช้คือ ใช้ไม้จิ้มฟันจิ้มที่น้ำยาแล้วแตะบริเวณที่ต้องการให้หลุดลอกออกไป แทนที่จะทิ้งให้น้ำยาแช่อยู่บนผิวสักพัก ให้เอาไม้จิ้มฟันที่แตะน้ำยาจิ้ม ๆ เบา ๆ บนจุดที่ต้องการกำจัดประมาณ 2 นาที การลอกผิวด้วย TCA นั้นไม่จำเป็นต้องปรับผิวให้เป็นกลาง ดังนั้นน้ำยาที่แต้มไว้จึงไม่ต้องล้างออก เพื่อให้ได้ผลดียิ่งขึ้นในวันถัดไปให้ทำขั้นตอนเดียวกันซ้ำอีก หลังจากนั้นประมาณ 2-3 วันผิวจะตึงตกสะเก็ดแล้วจะหลุดออกไป ผิวใหม่ก็จะขึ้นมาแทนที่ สีผิวและโครงสร้างผิวก็จะดีขึ้น

ขอบคุณเนื้อหาดีๆจาก acnethai.com

บทความการใช้แป้ง
ใครๆก็อยากมีใบหน้าที่สวยนวลเนียนเนิ่นนานตลอดวัน แต่ด้วยสภาพผิวของแต่ละคนไม่เหมือนกัน บางคนผิวมัน บางคนผิวแห้ง หรือบางคนผิวผสม กอปรกับบ้านเราเป็นเมืองร้อน สภาพผิวและสภาพอากาศที่ไม่เป็นใจเช่นนี้อาจทำให้ใบหน้าของคุณที่เคยนวล เนียนในตอนเช้านั้นกลับมันเยิ้มในช่วงบ่าย หรือยังไม่ทันจะบ่ายใบหน้าของคุณก็ไม่นวลเนียนซะแล้ว นี่แค่ปัญหาเบื้องต้นของการเลือกแป้งให้เหมาะสม ปัญหาของการเลือกใช้แป้งยังมีอีกมาก อาทิ ประเภทของแป้งแบบไหนสัมพันธ์กับลักษณะผิวของสาวๆ ความแตกต่างของอุปกรณ์ทาแป้ง ประเภทของพัฟฟ์ฟองน้ำ หรือ แปรงทาหน้า เป็นต้น วันนี้เคลย์ เดอ โป โบเต้จะมาไขข้อข้องใจเกี่ยวกับการเลือกใช้แป้งที่เหมาะกับคุณและเทคนิคใน การทาแป้งให้สวยเนียนมาฝากค่ะ
ข้อดีของการทาแป้งมีมากมายไม่ว่าจะเป็น มอบความนวลเนียนให้ใบหน้า ทำให้เมกอัพประเภท อายแชโดว์ บลัชออน ดินสอเขียนคิ้วที่เราแต่งแต้มลงบนใบหน้าติดทนไม่เลอะเทอะตลอดทั้งวัน ทั้งยังป้องกันความมันเงาทำให้ใบหน้าดูเนียนนุ่มเนิ่นนาน
วิธีการทาแป้ง
หลังจากที่คุณทารองพื้นแล้วไม่ว่าจะเป็นชนิดฟลูอิดหรือครีม ขั้นตอนต่อมาคือการลงแป้งฝุ่น หรือที่เรียกกันว่า Loose Powder กดซับแป้งฝุ่นให้ทั่วใบหน้าเพื่อให้แป้งฝุ่นกับรองพื้นหลอมรวมเป็นเนื้อ เดียวกัน ทำให้ใบหน้าแลดูเนียนนุ่มงดงาม ถ้าคุณยังเป็นมือใหม่ยังใช้ไม่ค่อยชำนาญทา Loose Powder ในปริมาณที่มากเกิน คุณสามารถใช้แปรงปัดแป้งส่วนเกินออกไปได้ จากนั้นแต่งแต้มสีอายแชโดว์ที่เปลือกตา เขียนอายไลน์เนอร์ ปัดมาสคาร่า ปัดบลัชออนที่แก้ม และเติมปากเท่านี้ก็เป็นอันเสร็จพิธี ในระหว่างวันหากคุณต้องการเติมแป้ง ก่อนอื่นเลยต้องกำจัดความมันและเหงื่อบนใบหน้าเสียก่อนด้วยกระดาษซับมัน อย่างดีชนิดกระดาษ แล้วจึงใช้ Press Powder Compact กดซับกระจายทั่วใบหน้าเบา ๆ เพียงเท่านี้ใบหน้าของคุณก็จะสวยนวลเนียนเนิ่นนานตลอดวันค่ะ วันนี้เคลย์ เดอ โป โบเต้ มีทิปดี ๆ เกี่ยวกับความแตกต่างของแป้ง Press Powder และ Loose Powder มาฝากกันค่ะ นอกจากนั้นยังมีทิปเกี่ยวกับอุปกรณ์ที่เหมาะสมในการทาแป้ง และสาระความรู้เรื่องแป้งอีกมากมายที่อัดแน่นอยู่ในบทความดี ๆ เรื่องนี้ พร้อมกันหรือยังคะ ถ้าพร้อมแล้วเราไปกันเลยค่ะ…
ความแตกต่างของ Press Powder และ Loose Powder
• Pressed powder คือแป้งรองพื้นอัดแข็งบรรจุอยู่ในตลับ ใช้กับพัฟฟ์ฟองน้ำ ข้อดีของแป้งชนิดนี้คือสามารถใช้เติมให้หน้าดูนวลเนียนระหว่างวันและพกพา ได้สะดวก
วิธีการใช้ แป้งชนิดนี้ใช้ไม่ยากค่ะ เพียงแค่เราใช้พัฟฟ์ที่มาพร้อมกับตลับแป้ง แล้วกดซับเบาๆให้ทั่วใบหน้า แตะแป้งให้กินบริเวณครึ่งหนึ่งบนแผ่นฟองน้ำ เริ่มทาบริเวณแก้มและคางด้านใดด้านหนึ่งก่อน จากนั้นแตะแป้งอีกครั้งทาหน้าผาก ดวงตา จมูก และรอบริมฝีปากบางๆ เพราะบริเวณเหล่านี้แป้งมักเลือนจางได้ง่าย เพียงแค่นี้คุณก็จะได้เป็นเจ้าของใบหน้าที่สวยใสแล้วค่ะ
• Loose powder แป้งฝุ่นชนิดนี้มีคุณสมบัติดูดซับความมัน เวลาทาแล้วใบหน้าจะดูเนียนบางเป็นธรรมชาติ แนะนำให้ใช้ควบคู่กับรองพื้นชนิดฟลูอิด หรือครีม ด้วยคุณสมบัติของแป้งจะหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับรองพื้นที่ทาได้เป็นอย่างดี เมื่อใช้ควบคู่กันผิวหน้าจะดูเรียบ
วิธีการใช้ ใช้หลังจากเกลี่ยรองพื้นชนิดครีมหรือฟลูอิดให้เนียนบนใบหน้า ใช้พัฟฟ์แตะแป้งแล้วกดซับเบาๆ ให้ทั่วใบหน้าในลักษณะไม่วนเป็นกลม โดยแตะแป้งให้กินบริเวณครึ่งหนึ่งบนแผ่นฟองน้ำ เริ่มทาบริเวณแก้มและคางด้านใดด้านหนึ่งก่อน จากนั้นแตะแป้งอีกครั้งทาหน้าผาก ดวงตา จมูก และรอบริมฝีปากบางๆ เพราะบริเวณเหล่านี้แป้งมักเลือนจางได้ง่าย หลังจากนั้นใช้แปรงขนนุ่มปัดเศษแป้งส่วนเกินที่เกาะผิวออก

เคล็ดลับคู่กายสำหรับการทาแป้ง
Puffs (พัฟฟ์ฟองน้ำ)
พัฟฟ์ฟองน้ำอุปกรณ์คู่กายสาวๆ ถูกผลิตขึ้นในหลากหลายขนาด รูปทรง และสีสันที่แตกต่างกัน แต่สิ่งที่เราควรคำนึงถึงในการเลือกใช้พัฟฟ์นั้นคือคุณภาพของเนื้อพัฟฟ์ ควรมีความอ่อนนุ่มและผลิตจากฝ้ายเพราะจะไม่ก่อให้เกิดการเสียดสีกับผิวซึ่งอาจก่อให้เกิดริ้วรอยขึ้นได้ และเหมาะที่สุดในการใช้เกลี่ยแป้งให้ทั่วใบหน้า พัฟฟ์ควรพิถีพิถันเลือกให้ดีเมื่อปาดหน้าแป้งแล้วจะต้องโอบอุ้มเนื้อแป้งได้ดี แต่ในขณะเดียวกันจะต้องไม่ลบรองพื้นที่เราทาไว้ก่อนหน้า

ทิปส์ : วิธีการที่ดีที่สุดในการทาแป้ง เมื่อคุณสังเกตว่าใบหน้าของคุณเริ่มมีความมัน คุณก็สามารถใช้แป้งกดซับความมันหลังจากใช้กระดาษทิชชู่หรือกระดาษซับมันซับ ความมันไปแล้ว ข้อสำคัญคืออย่าทาแป้งมากเกินไปในแต่ละครั้งเพราะจะทำให้แป้งแลดูหนาไม่เป็นธรรมชาติ
Brush (แปรงผลัดหน้า)
การใช้แปรงทาแป้งจะมอบความรู้สึก เนียนบางแก่ผิวหน้ามากกว่าการใช้พัฟฟ์ และสามารถใช้ได้ทั้งแป้งฝุ่นและแป้งอัดแข็ง

ทิปส์ : ใช้แปรงปัดจุ่มแป้งแล้วนำมาทาไล้ให้ทั่วใบหน้าโดยเริ่มจากด้านบนมาด้านล้าง อย่าลืมทาเลยไปถึงในช่วงไรผม เพื่อความเนียนเรียบเป็นธรรมชาติ
อุปกรณ์ ต้องสะอาดอยู่เสมอ สาวๆ รู้หรือไม่ว่าพัฟฟ์ฟองน้ำ หรือ Brush ที่สาวๆ ใช้ควรนำมาทำความสะอาดบ้าง อย่างน้อยเดือนละ 2 ครั้ง เพราะทั้งบรัชและพัฟฟ์นั้นเมื่อสัมผัสบนใบหน้าอาจถูกคราบเหงื่อและความมัน ก่อให้เกิดการสะสมของแบคทีเรีย ซึ่งเป็นที่มาของสิวได้ โดยวิธีการทำความสะอาดนั้นเพียงแค่นำสบู่อ่อนๆมาล้างทำความสะอาด พัฟฟ์หรือบรัช ล้างออกโดยใช้น้ำอุ่น แล้วใช้ผ้าขนหนูสะอาดซับให้แห้งแล้วนำไปวางไว้ในที่ที่ไม่ถูกแดดและอากาศ ถ่ายเท เพียงเท่านี้คุณก็จะได้พัฟฟ์และบรัชที่สะอาดเหมือนใหม่ใช้ตลอดแล้วค่ะ ฉะนั้นอย่าลืมหมั่นทำความสะอาดกันบ้างนะจ๊ะ

ต้องขอบคุณเครื่องสำอาง เคลย์ เดอ โป โบเต้ สำหรับข้อมูล และ acnethai.com

หนังสือรวบรวมข้อมูลของการรักษาผิวด้วยน้ำผลไม้ของ Heinerman ที่หน้า 268

อาการผิดปกติที่เกิดขึ้นบนผิวพรรณนั้นเป็นตัวบอกได้ถึงสภาวะความเป็นกรดในเลือด อันมีสาเหตุมาจากการรับประทานอาหารประเภทของเนื้อสัตว์, อาหารทอด, อาหารหวาน ผลิตภัณฑ์จากแป้งขัดขาว, การดื่มเครื่องดื่มประเภทกาแฟและน้ำอัดลมมากเกินไป
แตงโมเป็นผลไม้ที่สามารถกำจัดปริมาณกรดในเลือดได้และช่วยฟอกเลือดได้ เมื่อระบบกลับสู่สภาวะปกติ ผิวก็จะดูดีขึ้นได้
Asian Health Secrets โดย Letha Hadady DAc, หน้า 291
อาหารที่มีไขมันสูงจะทำให้การย่อยอาหารเป็นไปด้วยความเชื่องช้า สับสนในความคิด และทำให้เกิดสิว อาหารประเภททอด, เนย, ชีส และถั่ว จะทำให้เกิดการคั่งของเลือด (ระบบอวัยวะของตับและถุงน้ำดี) เป็นผลให้ร่างกายขับของเสียออกไปได้ยากมากขึ้น
Smart Medicine For Healthier Living by Janet Zand LAc OMD Allan N Spreen MD CNC James B LaValle RPh ND, page 83
ชาวจีนมีความเชื่อที่ว่า สิวนั้นเกิดจากความไร้ประสิทธิภาพ และความไม่สมบูรณ์ของการย่อยอาหาร ซึ่งทำให้การเผาผลาญเป็นพิษและแสดงออกมาทางผิวหนัง อาหารที่ช่วยเรื่องสุขภาพผิวเช่น ผักสด และผักที่ปรุงให้สุกพอประมาณ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผักใบเขียว ที่มีปริมาณแร่ธาตุและกากใยสูง ซึ่งมีประโยชน์ต่อร่างกาย รวมถึงอาหารที่เป็นแหล่งโปรตีน และพวกคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน เช่นข้าว ขนมปังธัญพืช มันฝรั่ง อาหารที่มีกากใยสูงนั้นจะช่วยทำความสะอาดระบบลำไส้ได้ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการเกิดสิว การรับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพวันละ 3 มื้อ จะช่วยเพิ่มสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย และช่วยลดอาการอยากรับประทานของหวานหรือของทอด ของมันได้
Complete Encyclopedia Of Natural Healing by Gary Null PhD, page 323
บ่นกันเป็นประจำเกี่ยวกับเรื่องสิว ซึ่งเกิดจากแบคทีเรียและความระคายเคืองต่างๆที่อยู่ใต้ผิวในชั้นต่อมไขมันและในรูขุมขน อันที่จริงแล้วเป็นผลจากการรักษาสุขอนามัยที่ไม่เหมาะสม และรับประทานอาหารไม่ถูกสุขลักษณะ เช่น อาหารที่มีขั้นตอนมากเกินไป, อาหารที่มีไขมันสูง และอาหารทอด อาหารที่เป็นผลิตภัณฑ์จากนม เนื้อสัตว์ และน้ำตาล
ทางเลือกใหม่ในการรักษาด้วยวิธีธรรมชาติ โดย Prevention Magazine หน้า 166
สิวที่มีฐานสีแดงและมีหนองเหลืองอยู่ภายในนั้นเป็นสัญญาณบอกให้รู้ว่า มีความร้อนสูงภายในร่างกาย Vasant Lad, B.A.M.S., M.A.Sc, director of the Ayurvedic Institute in Albuquerque, New Mexico กล่าว (หาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับธาตุในร่างกาย Ayurvedic Doshas ที่หน้า 28 ในหนังสือ All about Vata, Pitta และ Kapha) เพื่อเป็นการควบคุมการเกิดสิว เขาแนะนำให้เลือกรับประทานอาหารที่ปราศจากรสชาติเช่น ข้าวโอ๊ต, ซอสแอ๊ปเปิ้ล, ข้าวปากีสถาน และเลิกรับประทานอาหารทอด, อาหารรสจัด และผลไม้ที่เป็นกรดสูง
การรักษาด้วยทางเลือกใหม่ โดย Bill Gottlieb หน้า 529
อาหารที่ลดประสิทธิภาพการรักษาโรคสะเก็ดเงินคือ สัตว์น้ำที่มีเปลือก, อาหารขยะ เช่นโซดา หรือมันฝรั่งแผ่น อาหารทอด แอลกอฮอล์ ของดอง อาหารรมควัน และอาหารที่ปรุงด้วยน้ำมันมะพร้าว หรือน้ำมันปาล์ม ยังมีคำแนะนำให้หลีกเลี่ยงการรับประทานของหวานมากเกินไป เช่น โซดา ลูกอม ขนมอบ และพาย
The New Age Herbalist by Richard Mabey, page 232
โรคเรื้อนกวางนั้นสามารถเกิดขึ้นได้จากการขาดสารอาหารที่จำเป็น และผิวจะกลับคืนสู่สภาพปกติได้อีกครั้งเมื่อร่างกายได้รับสารอาหารที่จำเป็นอีกครั้ง ในเด็กทารก หรือเด็กๆก็อาจเป็นโรคเรื้อนกวางได้ในบางกรณี เนื่องจากขาด Gamma-linolenic Acid (GLA) ที่มีอยู่ในน้ำนมแม่ แต่จะไม่มีอยู่ในนมวัว หากมีปัญหาเกี่ยวกับผิวหนังในเด็ก ควรปรึกษาแพทย์เสมอ น้ำมันพืชที่สกัดเย็นเช่นน้ำมันดอกทานตะวันและน้ำมันดอกคำฝอยก็ช่วยแก้ปัญหาเรื่องผิวได้ วิตามิน A,B,C และ E นั้นเป็นวิตามินที่จำเป็นต่อผิว เพื่อให้ผิวมีสุขภาพที่ดี การดื่มน้ำแครอททุกวันเพื่อให้ได้เบต้าแคโรทีนก็เป็นแหล่งที่มาของวิตามิน A ก็มีส่วนช่วยเรื่องผิวเช่นกัน อาหารเสริมวิตามิน B6 สามารถช่วยอาการผิวแห้งแตกได้บ้างในบางครั้ง การรับประทานสาหร่ายทะเลก็มีส่วนช่วยเสริมแร่ธาตุที่จำเป็นต่อเส้นผมและผิวหนัง หากว่ามีอาการของโรคเรื้อนกวาง ให้หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารทอด แอลกอฮอล์ อาหารขยะ อาหารและเครื่องดื่มที่มีส่วนประกอบของน้ำตาล สารแต่งสีและกลิ่น เพิ่มปริมาณการรับประทานผักและผลไม้สดให้มากขึ้น
Natural Alternatives To Drugs by Michael T Murray ND, page 43
อาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพในแง่ของธรรมชาติเช่นผัก ผลไม้ ธัญพืช และถั่วต่างๆ นั้นเป็นอาหารลำดับแรกๆ ที่แนะนำให้รับประทานเพื่อรักษาสภาพผิวหน้าให้ปราศจากสิว อาหารที่มีส่วนประกอบของกรดไขมันชนิดทรานส์ (Trans-fatty acids) เช่นนมวัว ผลิตภัณฑ์จากนมวัว มาการีน น้ำมันพืชสังเคราะห์ และอาหารทอด นั้นควรต้องหลีกเลี่ยง
Homeopathic Medicine At Home by Maesimund B Panos MD and Jane Heimlich, page 194
Gustave H. Hoehn, M.D., ผู้เขียนหนังสือ “Acne can be cured” (สิวรักษาได้) ไม่เห็นด้วยกับข้อที่ว่า “อาหารมีส่วนในการเกิดสิว” แต่ก็พบว่าส่วนประกอบทั่วไปที่พบในอาหารอิตาเลียน เกาหลี ญี่ปุ่น และเอสกิโมนั้นมีปริมาณน้ำมันน้อย น้ำมันมะกอก น้ำมันปลา น้ำมันถั่วและน้ำมันพืช ในขณะที่ชาวอเมริกานั้นรับประทานน้ำมันมาก ซึ่งเป็นน้ำมันที่พบได้จากนมวัว ชีส และไอศกรีม เช่นเดียวกับที่พบในเบคอน แฮม และเนื้อหมู น้ำมันหมูที่ใช้ในการทอดอาหาร Gustave ได้มุ่งไปที่อาหารอิตาเลียน และมองว่าเป็นอาหารพื้นเมืองของพวกเขา และพวกเขามีสภาพผิวที่สวยงาม เช่นเดียวกับชาวเกาหลี ญี่ปุ่น และเอสกิโม แต่เมื่อคนเหล่านี้ย้ายถิ่นมาอยู่ที่อเมริกา ลูกหลานพวกเขาก็มีแนวโน้มว่าจะเป็นสิวเช่นเดียวกับชาวอเมริกา
Natural Health Secrets by Glenn W Geelhoed MD Jean Barilla MS, page 240
รับประทานให้ถูก ก็จะช่วยให้ผิวสดใส โดยการเลิกรับประทานอาหารทอด อาหารที่มีน้ำตาลสูง อาหารที่แต่งสีและกลิ่น
Staying Healthy With Nutrition by Elson M Haas MD, page 749
สิว...ปัญหาที่พบได้ทั่วไปในวัยรุ่น เกิดจากการถูกกระตุ้นของฮอร์โมนร่วมด้วย ทำให้เกิดการระคายเคืองของกรดไขมันจากแบคทีเรีย ความเครียด และการรับประทานอาหารที่ไม่มีประโยชน์ - - สิวเกิดขึ้นจากการผลิตไขมันมากเกินไปในต่อมไขมันใต้ผิว การดื่มน้ำให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย และเลิกรับประทานอาหารทอด รับประทานอาหารเสริมวิตามิน A และ Zinc จะช่วยลดการอักเสบและลุกลามของสิว
The New Age Herbalist by Richard Mabey, page 230
เพื่อควบคุมการเกิดสิว อาหารที่รับประทานควรมีส่วนประกอบหลักเป็นผักและผลไม้สด หลีกเลี่ยงอาหารที่เป็นคาร์โบไฮเดรตที่ผ่านการขัดสี น้ำตาล อาหารทอด และไขมันสัตว์ รวมทั้งชีส เนย แต่ควรรับประทานน้ำมันพืชสกัดเย็นด้วย ช๊อคโกแล็ต ขนมหวาน มันฝรั่งทอด เหล่านี้มักทำให้ผิวมีดูแย่ลง
Smart Medicine For Healthier Living by Janet Zand LAc OMD Allan N Spreen MD CNC James B LaValle RPh ND, page 83
หลีกเลี่ยงแอลกอฮอล์ โซดา ช๊อคโกแล็ต อาหารทอด และน้ำตาลผ่านกระบวนการ เหล่านี้ล้วนเป็นผลให้เกิดกรดในสภาวะภายในร่างกาย ซึ่งช่วยสนับสนุนให้เกิดปัญหาสิวตามมา
Alternative Cures by Bill Gottlieb, page 467
“เพื่อลดการผลิตไขมันจากหนังศีรษะและลดความมันของเส้นผม ดังนั้นควรลดการรับประทานอาหารทอด และอาหารที่มีไขมันอิ่มตัว” Janssen กล่าว

วันพฤหัสบดีที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

เทคนิคการลดความเครียด

จากที่เราได้พอทราบกันมาบ้างแล้วว่า ความเครียดนั้นเป็นศัตรูของผิวพรรณอันดับหนึ่ง การกำจัดความเครียดโดยไม่จำเป็นนั้นเป็นประการหนึ่งที่ช่วยควบคุมการเกิดสิวได้อย่างมีนัยยะ หากทำการรักษาสิวพร้อมกับออกกำลังกายอย่างเหมาะสม และนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ จะช่วยสนับสนุนให้เทคนิคการบริหารความเครียดนี้ได้ผลดี มีหลายวิธีที่จะช่วยลดหรือกระจายความเครียด หากประวัติการเกิดสิวของคุณชี้ว่าความเครียดมีผลให้ปัญหาสิวแย่ลง คุณควรระบุให้ชัดเจนว่าความเครียดเรื่องใดที่เป็นเรื่องหลักในชีวิตของคุณ เพื่อที่จะดูว่าความเครียดใดที่ทำให้คุณวนเวียนเครียดแล้วเครียดอีกไม่รู้จบ คำตอบนั้นจะเป็นเบาะแสที่จะช่วยให้รู้ว่าควรเริ่มแก้ปัญหาที่ตรงไหน ยกตัวอย่างเช่น คุณเครียดเรื่องครอบครัว ถามตัวเองดูว่าประเด็นไหนที่ทำให้ความสัมพันธ์ในครอบครัวเกิดความเครียด จากนั้นก็วางแผนที่จะเริ่มแก้ปัญหานั้น การลดความเครียด
พูดออกมา
อย่าเก็บความกังวลใจและปัญหาไว้ให้มากนัก ลองหาใครซักคนที่มีความสุขุม น่าไว้วางใจ เพื่อพูดคุยถึงปัญหาของคุณ ในบางครั้งคนอื่นก็จะช่วยทำให้คุณมองเห็นปัญหาของคุณได้ชัดเจนขึ้น และก็ช่วยให้มีความคิดแง่มุมใหม่ๆในการแก้ไขปัญหา นอกจากนั้นในทางปฏิบัติแล้ว พบว่าคนอื่นๆนั้นมักจะแบ่งปันปัญหาของเขาที่คล้ายกับของคุณให้คุณฟังด้วย ปัญหาที่คุณคิดนั้นไม่ได้หนักหนาสาหัส หรือเป็นปัญหาอันพิเศษไปมากกว่าคนอื่นๆเท่าไหร่นัก หากปัญหาของคุณนั้นสาหัสเกินกว่าที่จะจัดการเองได้ ลองคุยกับผู้เชี่ยวชาญด้านนั้นๆเป็นพิเศษ เช่น นักจิตวิทยา  นักจิตบำบัด หรือผู้ให้คำแนะนำด้านศาสนา บ่อยครั้งพบว่าความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านดังกล่าวมาไม่ได้มีค่าใช้จ่ายสูงตามที่เราคิดไว้

มีความคิดสร้างสรรค์บ้างเป็นบางครั้ง
บางครั้งบางคราว วิธีที่ดีที่สุดในการเผชิญหน้ากับปัญหาคือการหยุดคิดถึงมันสักครู่ หนีไปสักพักให้พอที่จะคิดทบทวนไตร่ตรอง จากนั้นจึงกลับไปแก้ไขปัญหาอีกครั้งเมื่อจิตใจสงบลงแล้ว ยกตัวอย่างเช่น เพื่อนร่วมงานสร้างความรำคาญใจให้กับคุณ แทนที่จะรับมันไว้ (ซึ่งเป็นการลงโทษตัวเอง) หรือทำให้เป็นเรื่องใหญ่ขึ้น (ซึ่งจะทำให้ปัญหาแย่ลงไปอีก)  เดินเล่นซักพัก แม้จะเป็นแค่เดินจากที่โต๊ะไปที่คูลเลอร์น้ำในออฟฟิศ แล้วเดินกลับมา เพื่อเปลี่ยนทิวทัศน์บ้าง หลักสำคัญของเทคนิคนี้คือการกลับมาเพื่อแก้ปัญหาด้วยวิธีการที่สงบและมีเหตุผล คุณยังสามารถฝึกการหลบเลี่ยงเมื่อเผชิญหน้ากับงานต่างๆ ที่ดูเหมือนว่าจะมากเกินไปสำหรับคุณได้ แทนที่จะกลับไปเป็นวงเวียนเดิม ให้เบี่ยงตัวเองออกจากตรงนั้นสักพัก การดูหนัง อ่านหนังสือ เดินเล่น หรือการขับรถเล่น จะช่วยให้คืนความสดชื่นให้กับคุณ และทำให้คุณได้มีทัศนคติที่ดีขึ้น พร้อมกลับมาทำงานต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น อันเป็นหลักการเดียวกับการพักร้อน แม้จะเป็นการพักร้อนเพียงห้านาทีก็ตาม ก็สามารถทำให้เราหลบออกจากสถานการณ์ที่ทำให้หงุดหงิด ช่วยทำให้หายใจได้โล่งขึ้น และก็จะส่งผลให้ทัศนคติดีขึ้นพร้อมที่จะรับมือกับปัญหาของคุณได้ดีขึ้น

ทำทีละอย่าง
ในผู้ที่มีความเครียด แม้จะทำงานปกติทั่วๆไปที่เคยทำได้ แต่พอเกิดความเครียดงานที่เคยทำได้ก็ดูเหมือนจะยากลำบากเสียเหลือเกิน ให้เราแบ่งงานออกเป็นขั้นตอนโดยเรียงลำดับตามความสำคัญ จากนั้นก็ค่อยๆ ทำทีละอย่าง

จัดลำดับความสำคัญของเวลากับพลังงาน
ทุกคนนั้นจะมีส่วนที่ตัวเองถนัด กับส่วนที่ทำไม่ได้เอาซะเลย จงใช้พลังงานของคุณไปในทางที่คุณทำได้ดีกว่า อยู่ให้ห่างจากส่วนที่ต้องใช้พลังงานของคุณไปกับสิ่งที่คุณไม่สามารถ หรือทำได้ไม่ดี หรือทำแล้วรู้สึกไม่ดี นี่ไม่ใช่วิธีการที่ไม่ดี มันเป็นวิธีการใช้สินทรัพย์ของคุณไปในทางที่ดีที่สุดและใช้เวลาของคุณอย่างมีประโยชน์สูงสุด อย่าเสียเวลาและพลังงาน $10 ไปกับปัญหา 10 เซนต์ คนหลายพันคนได้คว้าเอาสิ่งที่ไร้ความหมายและไม่น่าเอาจริงเอาจังมาไว้ในชีวิต และได้พลาดสิ่งสำคัญของชีวิตไป หลักการง่าย ๆ อันนี้จะช่วยลดความขัดแย้งภายในตัวเราได้

เรียนรู้ที่จะยอมรับว่าอะไรที่เราเปลี่ยนไม่ได้
ความเครียดหลาย ๆ อย่างในชีวิตนั้นอยู่เหนือความควบคุมของเรา จึงไม่มีเหตุผลใดที่จะต้องหัวเสียต่อเหตุการณ์นั้นๆที่เราไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ เช่นสภาพอากาศ ภาษี หรือพฤติกรรมต่างๆของคนแปลกหน้า

ให้โอกาสคนอื่นบ้าง
บางครั้งบางคราวเราก็จะพยายามทำให้คนที่เรารักเป็นอย่างที่เราต้องการ หรือเป็นอย่างที่เราจินตนาการ บางครั้งเราก็ไปคาดหวังความสมบูรณ์จากคนแปลกหน้า นี่จะนำไปสู่ความผิดหวังไม่รู้จบ เพราะมันไม่สามารถเป็นอย่างที่เราคิดได้ ให้โอกาสคนอื่นบ้าง ไม่ว่าคนคนนั้นจะเป็นคู่สมรส, ผู้ปกครอง, เพื่อนร่วมงาน หรือคนแปลกหน้า ใช้มาตรฐานในการตัดสินคนอื่นให้น้อยลงต่อคนรอบข้าง แล้วคนอื่นๆ ก็จะทำแบบเดียวกันนั้นกับคุณ เมื่อไหร่ที่คุณหยุดทำให้คนอื่นรู้สึกว่าถูกคุณคุกคาม พวกเขาก็จะหยุดมองว่าคุณเป็นคนแบบนั้น หากคุณมองว่าชีวิตเป็นเหมือนเกม ที่คุณต้องเหยียบย่ำคนอื่นเพื่อที่จะขึ้นไปอยู่จุดสูงสุด คุณจะปวดหัวกับปัญหาต่างๆ พิจารณาดูว่าเป้าหมายคืออะไร หาเวลาพักผ่อนและหาว่าอะไรที่สำคัญกับคุณจริงๆ

ทำงานและเล่นอย่างสมดุล เรียนรู้ที่จะมีความคิดสร้างสรรค์
จัดตารางเวลาสำหรับงานอดิเรกและความคิดสร้างสรรค์เอาไว้ คนที่แอคทีฟบางคนมักจะรู้สึกผิดเมื่อต้องนั่งเฉยๆ และไม่ได้ทำอะไร คุณควรใช้เวลาที่ “ไม่ได้ทำอะไร” มาผ่อนคลายและเติมพลังให้กับตัวเองบ้าง คุณไม่อาจอยู่ได้ในสถานะเดิมๆ เหตุการณ์เดิมๆ และกิจกรรมเดิมๆที่ไม่เปลี่ยนแปลง บางครั้งความคิดสร้างสรรค์ก็เกิดได้ขณะที่เราเล่น จ๊อกกิ้ง เล่นเทนนิส ว่ายน้ำ หรือกิจกรรมทางกายอื่นๆ ได้ระบายอารมณ์ และความคิดออกไป เพื่อผ่อนคลายในวันทำงาน

เรียนรู้เทคนิคก่อนผ่อนคลายแบบง่ายๆ
หากคุณไม่สามารถทำให้ตัวเองผ่อนคลายได้ คุณจำเป็นต้องมีเทคนิคบางประการ บางคนสามารถผ่อนคลายได้จากการคลายกล้ามเนื้อ, เทคนิคการหายใจลึก ๆ, การฝึกโยคะและการฝึกสมาธิ ผู้คนในหลายศาสนาพบความสงบจากการสวดมนต์และการทำสมาธิ สถานที่สอนเทคนิคการคลายความวิตกกังวลนั้นมีอยู่ทั่วไปและหาได้ไม่ยาก

อันนี้ผมคัดลอกและแปลมาจาก iEmilly.com และเคยลงไว้ที่ blog ในพันธุ์ทิพย์ เลยเอามาไว้ที่นี่ด้วยเผื่อใครยังไม่ได้ดู

การบีบสิวจาก iEmilly.com

บางคนบอกว่าการบีบสิวทำให้เป็นแผลเป็น บางคนบอกไม่เป็นไรบีบเลยชั้นบีบมาตลอด ผมก็เลยตามหาข้อมูลเรื่องนี้ว่าเป็นยังไง เพราะปกติเป็นคนไม่ชอบบีบสิว ก็ได้เรื่องมาว่าถ้าสิวที่เป็นหนองแล้ว หรือสิวเสี้ยน หรือสิวที่ไม่ได้มีฐานลงไปข้างล่างผิว อย่างนั้นบีบได้ ไม่เป็นแผลเป็น ส่วนสิวที่อักเสบอยู่หรือสิวที่มีฐานลงไปข้างล่างผิว หัวยังไม่โผล่ออกมา บีบไปมีโอกาสเป็นแผลเป็นและสิวจะลุกลาม อักเสบมากขึ้น
ได้มีการรวบรวมวิธีบีบสิวจากหลายๆเวบนะครับไว้ที่ Acne.org ผมจะทยอยเอามาบอกกันครับ
อันนี้จาก iEmilly.com
ขั้นตอน
1. ล้างหน้าด้วยน้ำอุ่น
2. ล้างหน้าและล้างเครื่องสำอางออกให้หมด
3. ล้างมือของคุณให้สะอาด เพื่อป้องกันสิวติดเชื้อและลามมากขึ้นกว่าเดิม
4. เอาเข็มที่จะใช้มาฆ่าเชื้อให้สะอาด (ถ้าใช้เข็มที่สกปรกจะทำให้สิวอักเสบมากขึ้น)
5. จิ้มที่หัวสิวที่เข็มเบาๆ
6. ใช้ทิชชู่หรือสำลีที่สะอาดคลุมที่นิ้ว
7. กดที่ด้านข้างของสิวเบาๆ จนกระทั่งเลือดหรือน้ำใสๆออกมา
ครั้งหน้าจะเอาของเวบอื่นมาลงให้ดูนะครับ จะได้มีหลายวิธีให้เพื่อนๆเลือกกัน

 เป็นวิธีการกดสิวโดยใช้ที่กดสิว ซึ่งเราสามารถหาซื้อได้ตามร้านขายยาทั่วไป วิธีนี้เป็นวิธีที่ Dr.Fulton ที่เป็นหนึ่งในทีมงานที่คิดค้น BP,Retin A เป็นคนแนะนำมา

ที่กดสิวถ้าจะหาซื้อเอาที่แบบลักษณะนี้นะครับ มันจะมีแบบที่ตรงที่กดเป็นขอบบางๆกว่านี้ เคยซื้อมาใช้แล้วมันกดไม่ค่อยถนัดและขอบบางๆจะทำให้เป็นแผลเวลาเรากดแรงเกินไปเพราะมันบาด

การกดสิวโดยใช้ที่กดสิว (ข้อมูลจาก Dr.Fulton คนคิดค้น BP และ Retin-A)

** ทุกครั้งที่กดต้องทำความสะอาดที่กดสิวและเข็มทุกครั้งด้วยการแช่แอลกอฮอลล์หรือแช่ในน้ำร้อนเพื่อฆ่าเชื้อประมาณ 10 นาที

ควรที่จะกดสิวโดยใช้ที่กดหลังจากเอาผ้าอุ่นปะหน้าทิ้งไว้ประมาณ 2-3 นาที หรือถ้าคุณอาบน้ำด้วยน้ำอุ่นก็ไม่จำเป็นต้องนำผ้าอุ่นมาปะหน้าแล้ว ที่ทำอย่างนี้เพราะเมื่อผิวโดนความร้อน รูขุมขนจะเปิด ทำให้เวลากดสิวทำได้ง่ายขึ้น

สิวเสี้ยน

เอาที่กดสิววางให้สิวเสี้ยนอยู่ตรงกลาง แล้วค่อยๆกดจนกว่าไขมันหลุดออกมาจากรูขุมขน ถ้าค่อยๆกดแล้วไขมันไม่ออก อย่าไปเพิ่มแรงกดหรือไปเค้นมัน เพราะจะทำให้เป็นแผลเป็นและอาจเกิดการติดเชื้อ ให้ทิ้งไว้ประมาณ 24 ชม. แล้วค่อยมากดใหม่

สิวอุดตัน

ให้ใช้เข็มที่ฆ่าเชื้อแล้วจิ้มไปที่หัวสิวอุดตัน จนให้หัวสิวมันเปิดหลังจากนั้นเอาที่กดสิวกดลงไปที่สิวที่เราเจาะ โดยให้สิวอยู่ตรงกลางของที่กด ค่อยๆออกแรงกดลงไป พอเสร็จแล้วให้ทำความสะอาดสิวที่กดและอุปกรณ์ด้วยแอลกอฮอลล์หรือน้ำร้อน

หามาให้อ่านกันอีกบทความสำหรับคอบีบสิวโดยเฉพาะ ใครที่ทนเก็บไว้ไม่ได้ชอบบีบอย่างน้อยก็ทำวิธีตามที่บอกนี้ละกันนะครับเพราะเวลาเราบีบสิว ผิวเราจะเปิดและสิ่งสกปรกโดยเฉพาะเชื้อแบคทีเรียจะเข้าไปและเชื้อแบคทีเรียจากนิ้วเราก็จะเข้าไปโดยตรงถ้านิ้วเราสกปรก ระวังกันไว้หน่อยก็ดีเพราะความสะใจจะทำให้สิวลุกลามได้

วิธีกดสิว

การกดสิวโดยใช้นิ้วมือนั้นไม่สมควร เพราะที่นิ้วมือนั้นมีสิ่งสกปรกที่อาจเข้าไปในรูขุมขนขณะที่บีบสิวได้ และจะทำให้ติดเชื้อ ทำให้เป็นสิวอักเสบเม็ดใหญ่ขึ้น สุดท้ายก็จะทำให้เป็นรอยแผล หากว่าสิวนั้นอยู่ลึกและมีสีขาวข้างใน การกดสิวนี้อาจส่งผลให้มีแบคทีเรียเข้าไปในผิวได้ (ทำให้มีสิวเม็ดใหญ่ ระคายเคือง และติดอยู่แบบนั้นเป็นเวลานาน)

หากว่าคุณมองเห็นสิวที่อยู่ไม่ลึกมาก และคิดว่าจะกดออก ก็ควรทำอย่างระมัดระวังเพื่อให้ปลอดภัย อันดับแรก, ทำความสะอาดบริเวณที่ต้องการกดสิวออก แล้วใช้ผ้าก๊อตซ์สองแผ่นวางข้าง ๆ สิวเม็ดที่ต้องการกดออก แล้วค่อย ๆ ดันสองข้างเข้าหาสิว (อย่าใช้นิ้วมือ .. โดยเฉพาะอย่างยิ่งเล็บมือ) หากมองดูแล้วว่าสิวหัวขาวนั้นมีฐานอยู่ไม่ลึก และสามารถกดออกได้ ก็กดออก แล้วใช้ผ้าก๊อตซ์แผ่นใหม่ชุบไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์หรือแอลกอฮอลล์เช็ดที่ปากแผลสิวที่ถูกกดออก แล้วใช้น้ำมันปฎิชีวนะทาที่ปากแผลสิว (antibiotic ointment) เช่น Bacitracin

หากว่ากดเบา ๆ แล้วสิวไม่ออก ก็อย่าพยายามกดต่อ ให้ผสมน้ำเปล่า ½ ถ้วย กับเกลือ ¼ ถ้วย แล้วใช้ผ้าก๊อตซ์ชุบน้ำเกลือที่ผสมไว้ นำมาวางแปะไว้บนหัวสิวนั้นประมาณ 5-10 นาที ทำแบบนี้หลาย ๆ ครั้ง น้ำเกลือกจะช่วยทำให้ทำสิวแห้งแล้วดูดให้หัวสิวออกมา สิวที่กดได้คือสิวที่มองเห็นได้ และมีหัวสีขาวแล้วเท่านั้น

ลักษณะของสิวที่กดได้

red

สีแดง = หยุด!!!

หากเป็นตุ่มสีแดง ๆ หลีกเลี่ยงการสัมผัสบริเวณตุ่มนั้น หากกดออกตอนที่เป็นตุ่มแดงอยู่นี้ แล้วก็จะมีปัญหาผิวในชั้นที่ลึกลงไปกว่าเดิม จากนั้นก็จะกลายเป็นผู้ที่มีผิวหน้าแดง ๆ มากกว่าเดิม ดังนั้นเมื่ออยู่ในสถานะเป็นตุ่มแดงเช่นนี้ห้ามทำอะไรกับมันเด็ดขาด

yellow

สีเหลือง = เตรียมตัว

หากตุ่มสิวนั้นมีลักษณะเหมือนมีไขมันเหลือง ๆ อยู่ข้างใน ขั้นนี้สามารถจัดการบีบ/กดออกได้เลย แต่ต้องใช้ศิลปะและเทคนิคในการทำ เริ่มต้นด้วยการล้างมือให้สะอาดและล้างผิวบริเวณตุ่มสิวนั้นให้สะอาดด้วย ไม่เช่นนั้นแล้วแบคทีเรียที่มือและหน้าจะทำให้เกิดการติดเชื้อได้ ใช้ทิชชู่วางข้าง ๆ ตุ่มหนองนั้นทั้งสองข้าง แล้วใช้นิ้วมือสองข้างค่อย ๆ ดันเข้าหากันอย่างเบามือ อย่าให้นิ้วมือหรือเล็บบีบ/กดลงไปที่สิวโดยตรงเป็นอันขาดเพราะจะทำให้ผิวเป็นรอยช้ำจากการใช้เล็บจิกกด

เมื่อกดจนเห็นว่าหนองเหลือง ๆ ออกไปหมดจนเหลือแต่น้ำใส ๆ แล้วเมื่อกดต่อไปจะมีเลือดออก ถึงตอนนี้ให้หยุดกด/บีบได้ เพราะหมายถึงว่าหนองได้ออกไปจนหมดแล้ว จากนั้นให้ใช้พวกยาปฏิชีวนะแต้มที่แผลสิว หรือจะใช้เป็นทีทรีออยล์ก็ได้ เพื่อป้องกันการอักเสบของผิวบริเวณที่ถูกกด/บีบ จากนั้นล้างมือให้สะอาดอีกครั้ง การกด/บีบสิวลักษณะนี้ออกไปนั้นจะช่วยให้หายได้เร็วกว่าการปล่อยทิ้งไว้ให้หายเอง

green

เขียว = เริ่ม

หากว่าสิวนั้นเป็นหนองเขียว ให้บีบออกได้เลย แต่ปกติแล้วจะไม่ค่อยเป็นแบบนี้

blackwhite

สิวหัวขาว และสิวหัวดำ

มีกฎอยู่ว่า หากเป็นสิวนั้นมีหัวเป็นสีดำให้กดออกได้ แต่หากเป็นตุ่มเล็ก ๆ สีขาวอย่ากดออก สิ่งสำคัญในการกดอยู่ที่มือที่สะอาด, ทิชชู่ และต้องหยุดกดหากไม่มีอะไรออกมาแล้ว หรือว่าเริ่มมีเลือดออกมา - - การกดสิวหัวดำนี้สามารถใช้ที่กดสิวเป็นเครื่องมือได้ แต่จริง ๆ แล้วก็ใช้นิ้วมือโดยมีทิชชู่เป็นตัวกลางนั้นดีกว่าเป็นสิบเท่า

สรุปก็คือ – ดูก่อนว่าสิวเป็นแบบไหน แดง เหลือง เขียว และจำไว้ว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดคือการ

สิวทั้งสองประเภทนี้เกิดจากการอุดตันรูขุมขน ซึ่งอาจจะมาจากเซลล์ผิวที่ตายแล้วแต่ผิวเรามีความผิดปกติไม่สามารถผลัดมันออกไปได้หรือเครื่องสำอางที่เราทาผิวมีส่วนผสมที่อุดตันรูขุมขน จึงทำให้ไปขัดขวางทางออกของไขมัน จึงทำให้เป็นสิวทั้งสองประเภทนี้

สิวอุดตัน

เกิดจากรูขุมขนถูกอุดตันสนิท ทำให้น้ำมันที่ผิวระบายออกมานั้นไม่มีทางออก จึงเกิดการอุดตัน ซึ่งจะมีลักษณะไม่มีหัวและปูดขึ้นมาจากผิวเนื่องจากรูขุมขนถูกปิดทำให้ลักษณะของสิวปูดขึ้นมาเป็นสีเดียวกับผิวเรา

สิวเสี้ยน

มีลักษณะคล้ายกับสิวอุดตันแต่รูขุมขนเปิด ทำให้ไม่เป็นเม็ดปูดขึ้นมาจากผิว สีดำที่เราเห็นอาจเป็นขนที่ไขมันขับออกมาหรือการทำปฏิกิริยากับอากาศจึงทำให้เ็ห็นเป็นจุดดำๆ

มีเกิดการอุดตันรูขุมขนจากเซลล์ผิวหรือเครื่องสำอางที่เราทาเข้าไป และมีการอักเสบจากเชื้อแบคทีเรียทำให้สิวมีลักษณะเป็นสีแดง ส่วนใหญ่สิวอักเสบจะก่อตัวมาจากสิวอุดตัน

สิวอักเสบ

เป็นขั้นต่อของสิวอุดตัน เมื่อผิวหน้าเราขับไขมันออกมามากเกินไปพร้อมกับรูขุมขนที่ปิดและถูกอุดตันโดยเซลล์ผิวที่ตายแล้ว ครีมหรือผลิตภัณฑ์ที่เราใช้เช่น กันแดด หรือโลชั่น มีส่วนผสมที่ทำให้อุดตัน ซึ่งเมื่อไขมันอุดตันและเกิดการอักเสบจากเชื้อแบคทีเรียจึงทำให้สิวบวมแดง สังเกตุได้ว่าเวลาไปหาหมอสิวทำไมเค้าถึงต้องกดสิวให้เรา ก็เพื่อเปิดรูขุมขนที่ปิดอยู่และกดเอาไขมันออกมาจะได้ไม่ทำให้เป็นสิวอักเสบไงครับ

ขอบคุณเนื้อหาดีๆจาก http://www.acnethai.com

และนี่ก็เป็นขั้นสุดท้ายของวงจรชีวิตของสิว ขั้นนี้จะต่อจากสิวอักเสบที่หลังจากบวมแดงจากแบคทีเรียแล้ว ร่างกายเราก็จะปล่อยเม็ดเลือดขาวออกมาเพื่อเข้าไปจัดการกับแบคทีเรีย จนกลายเป็นซากที่ทำให้ที่เราเห็นเป็นหนองสีเหลือง สีขาว ใครที่เป็นสิวหัวหนองบ่อยๆจะสังเกตุได้ว่าไม่ค่อยเป็นแผลเป็นเท่าไหร่ หรือเป็นก็ไม่ทิ้งรอยไว้นาน ไม่เหมือนกับสิวอักเสบแดงๆที่ไม่เป็นหนอง

ขอบคุณเนื้อหาดีๆจาก http://www.acnethai.com

สิวชนิดนี้เป็นอีกประเภทที่คนเป็นกันมาก จะเกิดขึ้นในผู้หญิงในช่วงมีรอบเดือน ทั้งก่อน ช่วงที่มีหรือหลังมี ขึ้นอยู่กับแต่ละคน บทความนี้ก็จะเป็นข้อมูลว่าสาเหตุของสิวประเภทนี้เกิดจากอะไร ลองอ่านกันดูนะครับ

การค้นคว้าเพื่อยืนยันว่าฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลงของประจำเดือนส่งผลให้สิวเพิ่มขึ้น

ในผู้หญิงนั้นจะเกิดขึ้นทุกเดือนประจำ ทำให้อารมณ์ฉุนเฉียว เหนื่อยเพลีย และเกิดสิวซึ่งเกี่ยวข้องกับการมีประจำเดือน จากการค้นคว้าแสดงให้เห็นว่าสิวนั้นอยู่ภายใต้รากฐานของฮอร์โมน อย่างไรก็ดี ยังไม่เคยมีหลักฐานแน่นอนของการค้นคว้าเกี่ยวกับรอบเดือนที่เป็นสาเหตุของการเกิดสิวในผู้หญิง การค้นคว้าล่าสุดได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า เกือบครึ่งหนึ่งของผู้หญิงจะประสบกับปัญหาสิวขึ้นก่อนมีรอบเดือน

“บ่อยครั้งสิวที่เกิดในผู้หญิงมีส่วนสัมพันธ์กับฮอร์โมน” แพทย์ผิวหนัง อลัน อาร์ ชาลิต้า กรรมการบริหาร, ผู้ร่วมงานเขียน “The Effect of the Menstrual Cycle on Acne” ตีพิมพ์เมื่อเดือนธันวาคม 2001 กล่าว การค้นคว้านี้เป็นการยืนยันว่าผู้หญิงส่วนใหญ่จะมีสิวขึ้นก่อนประจำเดือนมา เมื่อประเด็นเรื่องฮอร์โมนมีความสัมพันธ์กับสิวที่เกิดขึ้นกับหญิงก่อนมีประจำเดือน จึงได้ทำการหาวิธีเพื่อยืนยัน

ในการศึกษาผู้หญิงจำนวน 400 คนที่ช่วงอายุ 12 ถึง 52 ว่าได้มีสิวขึ้นก่อน ระหว่าง หรือหลังรอบเดือนหรือไม่ หญิงเหล่านั้นได้ถูกแบ่งกลุ่มออกตามอายุ ความรุนแรงของสิว เชื้อชาติ และการรับประทานยาคุมกำเนิด 177 จาก 400 คน (44%) แจ้งว่ามีสิวก่อนมีรอบเดือน

ขณะที่การศึกษาพบว่า ความรุนแรงของสิว เชื้อชาติ และการกินยาคุมกำเนิดไม่ได้มีผลกับสิวที่ขึ้นก่อนมีรอบเดือน อายุเป็นปัจจัยหนึ่งของสิว พบว่า 53% ของผู้หญิงอายุ 33 ปีขึ้นไปนั้นมีอัตราการเกิดสิวก่อนรอบเดือนมากกว่าหญิงวัยต่ำกว่า 20 ปี ซึ่งมีรายงานว่ามีจำนวน 39% เท่านั้นในวัยต่ำกว่า 20 ปีที่เป็นสิวก่อนมีรอบเดือน

สิวที่เกิดขึ้นจากฮอร์โมนนั้นโดยมากมักมีผลมาจากแอนโดรเจนในร่างกาย แอนโดรเจนคือฮอร์โมนที่กระตุ้นให้ต่อมน้ำมันผลิตซีบั่มและท่อขุมขนบนผิวหนัง เมื่อต่อมผลิตซีบั่มนั้นถูกกระตุ้นมาก ๆ โดยแอนโดรเจน เมื่ออยู่ในช่วงระหว่างการมีประจำเดือน ผู้หญิงทั้งวัยสาวและสูงอายุก็มีโอกาสเป็นสิวมากขึ้นในช่วงนี้ได้

ความจริง การศึกษาก่อนหน้านี้ได้แสดงให้เห็นว่าท่อน้ำมันบนผิวหน้าเปิดเล็กน้อยเมื่อวันที่ 15-20 ของรอบ 28 วัน และจะกว้างมากขึ้นเมื่อวันที่ 21-26 และหดเล็กลงอีกครั้งก่อนประจำเดือนมา 2 วัน โดยเฉลี่ยแล้วก่อนประจำเดือนมาสิวจะขึ้นเยอะเมื่อเข้าวันที่ 22 ของรอบ 28 วัน

สิวที่มากขึ้นระหว่างรอบเดือนนั้นไม่ได้หมายความถึงอายุที่มากขึ้น “ควรพบแพทย์ผิวหนังเพื่อหาวิธีการรักษาที่ได้ผลดีที่สุดจะดีกว่า” เธอกล่าว

สำหรับในรายที่เป็นไม่มากเช่นขึ้นมา 1 เม็ด 2 เม็ด ใช้พวกยาแต้มสิวธรรมดาเช่น Clindamycin, tea tree oil, หรือน้ำแข็งประคบลดการอักเสบก็เพียงพอแล้ว แต่ถ้าขึ้นมามากๆ อาจต้องปรึกษาแพทย์ หรือใช้พวก BP, กรดวิตามินเอ ทาเป็นประจำในบริเวณที่เป็น

ขอบคุณเนื้อหาดีๆจาก http://www.acnethai.com

วันพุธที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

สิวฮอร์โมน,สิวผู้ใหญ่

สิวประเภทนี้จะเป็นในช่วงอายุ 20 หรือ 30 ปี แต่จะเป็นไม่มากอาจจะขึ้นมาอักเสบนิดหน่อยครั้งละไม่กี่เม็ด ผู้หญิงส่วนมากจะเป็นกันในช่วงก่อนมีประจำเดือน สำหรับใครที่เป็นอาจจะต้องใช้ยาอื่นร่วมด้วยนอกจากยาทาอย่างเดียว

สิวในผู้ใหญ่ & ฮอร์โมน

สิวที่เกิดจากฮอร์โมน

เกิดขึ้นกับผู้หญิงเป็นล้าน ๆ คนโดยจะมาเป็นประจำทุกเดือนเช่น ตัวบวม, อารมณ์แปรปรวน และสิว ผู้เชี่ยวชาญทราบว่าสิวมีผลจากฮอร์โมน แต่งานวิจัยที่เกี่ยวเนื่องกันนั้นมีค่อนข้างน้อย จนกระทั่งปัจจุบันการศึกษาจากแพทย์ผิวหนัง อลัน ชาลิต้า ยืนยันว่าเกือบครึ่งหนึ่งของผู้หญิงทั้งหมดนั้นมีสิวขึ้นก่อนการมีรอบเดือน

สิวที่เกิดจากฮอร์โมนอาจไม่ประสบความสำเร็จในการรักษาด้วยวิธีดั้งเดิม เช่นการใช้เรตินอยด์ และยาปฎิชีวนะ ดังนั้นหากสามารถบอกลักษณะต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับสิวให้แพทย์ฟังได้จะเป็นการช่วยในการรักษา เช่น

สิวที่ขึ้นเม็ดแรก หรือการเกิดสิวครั้งแรกในวัยผู้ใหญ่

สิวที่ขึ้นก่อนการมีประจำเดือน

ประวัติการมีรอบเดือนที่ไม่ปกติ

ความมันบนใบหน้าที่เพิ่มขึ้น

ภาวะการณ์มีขนดก (ขนที่ขึ้นมากเกิน หรือขึ้นในที่ที่ไม่ควรขึ้น)

ระดับแอนโดรเจนในเลือดที่สูงขึ้น

สิวที่เกิดจากฮอร์โมนมักเริ่มต้นเมื่ออายุประมาณ 20-25 สามารถเกิดได้ทั้งกับวัยรุ่นและหญิงในวัยผู้ใหญ่ และส่วนใหญ่มักเกิดขึ้นกับผู้หญิงอายุ 30 ปีขึ้นไป และมักจะเกิดสิวในบริเวณส่วนล่างของใบหน้าโดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณกรามและคาง ในขณะที่บางคนเกิดสิวที่บริเวณหน้าอกและแผ่นหลัง สิวจากฮอร์โมนโดยปกติแล้วจะเป็นสิวปานกลางและไม่ค่อยอักเสบหรือหากอักเสบก็เพียงเล็กน้อยเป็นสิวอักเสบเม็ดเล็ก ๆ และพวกสิวเสี้ยน ... แต่มันเกิดขึ้นได้อย่างไร

สิวฮอร์โมนในผู้ใหญ่ – วัยหนุ่มสาว : เริ่มเกิดขึ้นในช่วงก่อนวัยรุ่น (อายุประมาณ 9-10 ปี) ต่อมหมวกไตเริ่มผลิตฮอร์โมน dihydroepiandrosterone (DHEAS) และแอนโดรเจน ซึ่งเป็นฮอร์โมนเพศชายที่ทำงานในร่างกายของผู้หญิง เช่น เทสโตสเตอโรน และ ดีไฮโดรเทสโตสเตอโรน (DHT) เป็นสาเหตุให้เกิดสิวเม็ดแรกในวัยหนุ่มสาว ฮอร์โมนทั้งหลายนี้จะไปกระตุ้นการหลั่งของต่อมไขมันตามธรรมชาติของผิว หรือซีบั่มในปริมาณที่มากขึ้น นี่คือเหตุผลที่ว่าทำไมวัยรุ่นจึงมีผิวมันและเป็นสิว โดยธรรมชาติแล้วเด็กผู้ชายจะมีฮอร์โมนเพศชายมากกว่า ดังนั้นวัยรุ่นที่เป็นสิวส่วนมากเป็นชาย

วิธีการรักษาสิวในวัยรุ่นนั้นค่อนข้างท้าทายความสามารถ เพราะฮอร์โมนของพวกเค้านั้นออกมาอย่างต่อเนื่อง บางทีอาจตอบสนองได้ดีกับการรักษาครั้งแรก ๆ เช่นการรักษาโดยใช้เรตินอยด์ และ เบนซอยล์เปอร์ออกไซด์ บางทีอาจใช้ร่วมกับการกินยาปฎิชีวนะ แต่เมื่อร่างกายเขาเหล่านั้นพัฒนาขึ้น ก็อาจเกิดสภาวะฮอร์โมนเปลี่ยนแปลงและอาจหยุดตอบสนองการรักษาดังกล่าว สูตรการรักษาจึงอาจต้องมีการปรับเปลี่ยนบ่อยสำหรับผู้ป่วยในวัยรุ่นเพื่อให้เหมาะสมกับฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลง

รอบเดือน - - หญิงหลาย ๆ คนผ่านเข้าสู่ช่วงเป็นผู้ใหญ่โดยไม่เป็นสิว คนอื่น ๆ อาจไม่เป็นจนกระทั่งอายุ 20 หรือ 30, อาจเป็นสิวก่อนประจำเดือนมา... ทำไม? ระหว่างรอบเดือนปกติ (หากหญิงผู้นั้นไม่ได้ใช้ยาคุมกำเนิดหรือฮอร์โมนใด ๆ) ระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนจะขึ้นสูงที่สุดที่กลางรอบเดือน แล้วลดต่ำลงจนใกล้ถึงช่วงประจำเดือนมา หลังจากการผลิตไข่ รังไข่จะผลิตฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน ซึ่งเป็นฮอร์โมนอีกตัวหนึ่งที่กระตุ้นต่อมไขมันให้ผลิตน้ำมันมากเกินจนเกิดสิว ฮอร์โมนที่ว่านี้มีผลกับหญิงที่ตั้งครรภ์ด้วย ต่อมไขมันจะผลิตน้ำมันมากในช่วง 3 เดือนสุดท้ายของการตั้งครรภ์ ทำให้หน้ามันและเกิดสิว หญิงบางคนเป็นสิวในช่วงวัยหมดประจำเดือน เมื่อระดับเอสโตรเจนเริ่มลดลง และฮอร์โมนเทสโตสเตอโรนกลายเป็นฮอร์โมนหลัก

จะทำอย่างไรได้บ้าง? - - ตามที่ด๊อกเตอร์ชาลิต้ากล่าวไว้ ทัศนคติที่ว่า“รอ และดู” นั้นไม่มีผลและไม่เกิดผลใด ๆ กับสิวฮอร์โมน สิวที่เกิดขึ้นระหว่างรอบเดือนของผู้หญิงไม่ได้แปลว่าพวกเขาโตขึ้น ดังนั้นการพบแพทย์ผิวหนังเพื่อหาวิธีการรักษาสิวที่ขึ้นมานั้นคือวิธีที่ดีที่สุดแต่ก็มีอีกหลายวิธีให้เลือก อาจเป็นวิธีง่าย ๆ เช่นการควบคุมรอบเดือนโดยการกินยาคุมกำเนิด หรือใช้วิธีดังกล่าวร่วมกับวิธีการรักษาอื่น ๆ

ขอบคุณเนื้อหาดีๆจาก http://www.acnethai.com

คุณแม่หลายๆคนอาจจะเคยเห็นลูกๆของเรามีตุ่มๆที่หน้าตอนเกิดออกมา ไม่ต้องกังวลเพราะนั่นคือสิวซึ่งอาจเกิดจากการถ่ายทอดจากแม่สู่ลูกตอนช่วงสุดท้ายของการตั้งครรภ์ สิวในเด็กจะเกิดขึ้นมาและหายไปเอง แต่หากไม่หายไปควรพาเด็กไปพบแพทย์เพื่อรักษากันต่อไป

babyacne

ผู้ปกครองหลาย ๆ คนเป็นกังวลกับสิวเม็ดแดง ๆ ที่ขึ้นบนใบหน้าลูก ๆ แรกเกิดของพวกเขา ประเภทหนึ่งของการเกิดเม็ดสิวกับเด็กเล็ก ๆ นี้ เรียกว่าสิวในเด็ก ผู้ปกครองมักจะเป็นกังวลต่อรูปลักษณ์ของเด็ก สิวในเด็กนี้จะเป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นถึงความเชื่อมโยงระหว่างร่างกายของคุณกับลูกของคุณ ในช่วงสุดท้ายของการตั้งครรภ์ จะเกิดการเชื่อมฮอร์โมนจากรกไปสู่ลูกของคุณ ซึ่งจะกระตุ้นต่อมไขมันในผิวของลูก ในที่สุดก็ทำให้เกิดสิวในเด็กขึ้นกับลูกของคุณได้

สิวเม็ดแดง ๆ นี้จะมีให้เห็นตั้งแต่ตอนเกิด แต่ส่วนมากแล้วจะเห็นเมื่อเด็กมีอายุในช่วง 3-4 สัปดาห์ บริเวณที่เกิดขึ้นมากที่สุดได้แก่แก้ม แต่ก็พบได้ในบริเวณหน้าผากและคาง ในบางครั้งมีสิวหัวขาวร่วมด้วย อาการนี้จะเกิดขึ้นและหายไปเมื่อเด็กอายุได้ประมาณ 4-6 เดือน

สิวนี้จะเห็นได้ชัดเจนเมื่อลูกรู้สึกร้อนและหงุดหงิด (เมื่อมีการไหลเวียนของเลือดที่ผิวหนังเพิ่มขึ้น) หรือเมื่อผิวหนังมีการระคายเคือง หากผิวของเด็กสัมผัสกับเสื้อผ้าที่ซักด้วยผงซักฟอกที่รุนแรง หรือเปียกน้ำลายหรือนมที่เด็กคายออกมา อาการก็จะมากขึ้นเป็นเวลาหลายวัน

ควรใช้น้ำทำความสะอาดผิวหน้าให้เด็กวันละหนึ่งครั้งอย่างเบามือ หรืออาจใช้สบู่อ่อนสำหรับเด็ก น้ำมันหรือโลชั่นไม่มีผลใด ๆ ที่จะช่วยให้ดีขึ้น และอาจทำให้แย่ลงกว่าเดิม หากสิวนั้นเป็นมากขึ้นหรือเป็นนานกว่า 6 เดือน ควรพบกุมารแพทย์เพื่อรับยาที่เหมาะสมในการรักษา

ขอบคุณเนื้อหาดีๆจาก http://www.acnethai.com